สืบพยานนัดแรก นักกิจกรรม-นักข่าวจำเลยคดีประชามติราชบุรี ศาลสั่งห้ามจดบันทึก

Posted: 21 Mar 2017 06:48 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

สืบพยานนัดแรกวันที่ 21-24 มี.ค.คดีประชามติบ้านโป่ง 4 นักกิจกรรม 1 นักข่าวขึ้นศาล ศาลสั่งไม่ให้ผู้สังเกตการณ์จดบันทึก-ห้ามรายงานคำเบิกความ วันนี้ต้องสืบพยานโจทก์ 4 ปากสืบได้เพียง 1

ภาพจากแฟ้มภาพประชาไท

21 มี.ค. 2560 ที่ศาลจังหวัดราชบุรี มีการสืบพยานโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 2418/2559 ที่พนักงานอัยการจังหวัดราชบุรี เป็นโจทก์ ฟ้อง ปกรณ์ อารีกุล กับพวกรวม 5 คน ในข้อหา ร่วมกันดำเนินการเผยแพร่ข้อความ ภาพ ในช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง หรือมีลักษณะปลุกระดม โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง และขัดคำสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้พิมพ์ลายนิ้วมือ

ก่อนการพิจารณาคดี ศาลออกข้อกำหนดไม่ให้ผู้สังเกตการณ์บันทึกการสืบพยานและห้ามรายงานคำเบิกความระหว่างสืบพยาน

จันจิรา จันทร์แผ้ว หนึ่งในทนายจำเลย ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นการสืบพยานโจทก์ คือ พ.ต.ท.เนรมิต งามขำ กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 โดยเป็นการสืบพยานในประเด็นเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์โหวตโน โดยพยานยืนยันว่า พ.ร.บ.ประชามติ ห้ามรณรงค์ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง สำหรับการสืบพยานปากนี้ยังไม่จบ ต้องสืบต่อในวันพรุ่งนี้

จันจิรา ระบุว่า เดิมวันนี้นัดสืบพยานโจทก์ 4 ปาก และพรุ่งนี้กำหนดสืบพยานจำเลย คงต้องเลื่อนไปกำหนดนัดใหม่ ส่วนอีก 3 นัดที่เหลือน่าจะสืบพยานโจทก์ได้เสร็จสิ้น

สำหรับจำเลยทั้งห้าคนประกอบด้วย นักกิจกรรม 4 คน และนักข่าว 1 คน ได้แก่ ปกรณ์ อารีกุล, อนุชา รุ่งมรกต, อนันต์ โลเกตุ สมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ภานุวัฒน์ ทรงสวัสดิ์ชัย นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ และทวีศักดิ์ เกิดโภคา ผู้สื่อข่าวประชาไท เหตุเกิดสืบเนื่องจากนักกิจกรรม 4 คนเดินทางเดินทางไปให้กำลังใจชาวบ้าน 23 คนที่ถูกเรียกรายงานตัวฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. จากกรณีการเปิดศูนย์ปราบโกงประชามติ ส่วนผู้สื่อข่าวได้ติดรถไปทำข่าวดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นตำรวจได้ตรวจค้นรถที่ทั้งหมดโดยสารมาและพบเอกสารความเห็นแย้งร่างรัฐธรรมนูญ และรณรงค์โหวตโนหลายรายการในรถดังกล่าวจึงจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาโดยระบุว่ามีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะแจกจ่ายเอกสารดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามในคำสั่งฟ้องของอัยการระบุถึงสติ๊กเกอร์โหวตโนเพียงรายการเดียว โดยเขียนว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดโดยการแจกจ่ายสติ๊กเกอร์ข้อความ "7 สิงหา Vote No ไม่รับกับอนาคตที่ไม่ได้เลือก" ซึ่งเป็นการเผยแพร่ข้อความในช่องทางอื่นใดที่ผิดจากข้อเท็จจริง มีลักษณะปลุกระดม โดยมุ่งให้ไม่ไปใช้สิทธิ ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของคณะบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ในการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย มาตรา 61 วรรคสอง พ.ร.บ.ประชามติ โดยอัยการขอให้ลงโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปีและริบของกลางทั้งหมด

ส่วนในบันทึกการจับกุมของตำรวจก่อนหน้านี้ระบุถึงของกลางที่ตรวจพบบนรถว่า พบของกลาง คือ แผ่นไวนิลข้อความ "นายกไทยใครๆ ก็โดนล้อ" 1 แผ่น ไมโครโฟน ลำโพง ที่่คั่นหนังสือ "โหวตโน", จุลสาร การออกเสียง จำนวน 66 ฉบับ, แผ่นเอกสาร ปล่อย 7 นักโทษประชามติโดยไม่มีเงื่อนไข 21 แผ่น, แผ่นเอกสาร ความเห็นแย้ง 2 ฉบับ, เอกสารแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์ ฉบับลงประชามติ 9 ฉบับ, เอกสารจะใช้สิทธิลงประชามตินอกเขตจังหวัดทำอย่างไร 70 ฉบับ และสติ๊กเกอร์โหวตโนจำนวนมาก



มาตรา 61 พ.ร.บ.ประชามติ ระบุว่า ผู้ใดกระทําการดังต่อไปนี้


(1) ก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

(2) ให้ เสนอให้หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียง อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง

(3) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ หรือใช้อิทธิพลคุกคาม เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง หรือเพื่อให้สําคัญผิดในวัน เวลา ที่ออกเสียงหรือวิธีการ ลงคะแนนออกเสียง

(4) เปิด ทําลาย ทําให้เสียหาย ทําให้เปลี่ยนสภาพ ทําให้สูญหาย ทําให้ไร้ประโยชน์ นําไป หรือขัดขวางการส่งหีบบัตรออกเสียงหรือบัตรออกเสียง เว้นแต่เป็นการดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ โดยชอบด้วยกฎหมาย

(5) เล่นหรือจัดให้มีการเล่นการพนันขันต่อใดๆ อันมีผลเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียง ไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง

(6) เรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อจะไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอยางใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง

(7) ขาย จําหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิด ในเขตออกเสียงระหว่างเวลา 18.00 นาฬิกา ของวันก่อนวันออกเสียงจนสิ้นสุดวันออกเสียง

ผู้ใดดําเนินการเผยแพร่ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือในช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ผู้ใดกระทําการตาม (1) (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี และปรับ ไม่เกินสองแสนบาท ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนดไม่เกินห้าปีด้วยก็ได้ ในกรณีการกระทําความผิดตาม (1) (2) (3) (4) (5) หรือ (6) เป็นการกระทําความผิดของ คณะบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนดสิบปี

ผู้ใดกระทําการตาม (7) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้กระทําการตาม (6) เป็นผู้รับหรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด สําหรับตนเองหรือผู้อื่น ถ้าได้แจ้งถึงการกระทําดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการ การเลือกตั้งมอบหมายก่อนหรือในวันออกเสียง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษและไม่ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.