เคยคิดจะเขียนกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มานานมากแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจทุกครั้ง กลัวว่าจะมีดราม่า 5555
แต่คิดไปคิดมาก็อยากเขียนเอาไว้เป็นความรู้พื้นฐานให้กับทุกคนนะคะ
เพราะช่วงที่ผ่านมามีการตั้งกระทู้เกี่ยวกับสายการบินเยอะมาก

ปล. ไม่ได้พูดถึงคนไทยทุกคนนะคะ แต่จะใช้คำว่า “คนไทยส่วนใหญ่”

ในกระทู้จะขอบอกเป็นพื้นฐานคร่าวๆที่ทุกสายการบินจะเหมือนกันนะคะ จะขอแบ่งออกเป็นข้อๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายนะคะ

1. ชื่อในการจองตั๋ว
- ถ้าผู้โดยสารเดินทางภายในประเทศ อันนี้แล้วแต่เลยค่ะว่าจะสะกดชื่อตามหน้าพาสปอร์ตหรือบัตรประชาชน (ในกรณีที่ในพาสปอร์ตและบัตรประชาชนสะกดไม่เหมือนกัน เช่นคำว่า พล ในบัตรประชาชนอาจจะเขียนว่า pon แต่ในพาสปอร์ตเขียนว่า phon บางคนก็ pol) แต่เมื่อคุณมาหน้าเค้าเตอร์เพื่อเช็คอิน กรุณาแสดงบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ที่สะกดชื่อตรงกับในใบจองตั๋ว ง่ายๆคือถ้าตอนจองตั๋ว คุณใช้ตัวสะกดตามพาสปอร์ตก็ให้แสดงพาสปอร์ต ถ้าตามบัตรประชาชนก็ให้แสดงบัตรประชาชน (บางสายการบินจะอนุโลมการสะกดผิดที่สามารถออกเสียงเหมือนกัน แต่บางสายการบินไม่ให้ และจะต้องเสียค่าเปลี่ยนชื่อ)
- หากผู้โดยสารเดินทางระหว่างประเทศ จะต้องใช้ชื่อสะกดตามพาสปอร์ตเท่านั้น ห้ามมีการสะกดผิดแม้แต่ตัวเดียว

2. บัตรข้าราชการ
- ผู้โดยสารหลายท่านมักจะแสดงบัตรข้าราชการแทนการแสดงบัตรประชาชน ซึ่งจริงๆไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากบัตรข้าราชการไม่มีตัวสะกดภาษาอังกฤษ บางสายการบินก็เช็คอินให้เพราะอ่านแล้วตรงกับชื่อภาษาอังกฤษ แต่ที่ดีควรแสดงบัตรที่มีชื่อภาษาอังกฤษค่ะ ถ้าลืมบัตรประชาชนก็สามารถแสดงใบขับขี่แทนได้

# อัพเดทค่ะ # หลังจากมีคอมเม้นว่าบัตรข้าราชการทหารมีภาษาอังกฤษ ต้องขออภัยด้วยค่ะที่ไม่ทราบมาก่อน
สรุปคือถ้าบัตรข้าราชการแบบที่มีชื่อ-นามสกุลภาษาอังกฤษสามารถใช้ได้นะคะ
แต่ของท่านไหนที่ไม่มีภาษาอังกฤษ รบกวนใช้บัตรประชาชนหรือใบขับขี่แทนค่ะ ^^

3. เด็กทารกต้องมีใบสูติบัตร (หรือพาสปอร์ต) แสดงด้วยเสมอ รวมถึงเด็กที่ยังไม่มีบัตรประชาชน สามารถใช้บัตรนักเรียนของทางโรงเรียนได้ ( ปล. ถ้าเป็นเส้นทางลงภาคใต้ จะต้องใช้เอกสารตัวจริงเท่านั้น ห้ามใช้ใบถ่ายเอกสารหรือโชว์รูปภาพในโทรศัพท์มือถือ แต่เส้นทางอื่นๆก็แล้วแต่การพิจารณาของทางสายการบิน ซึ่งทางที่ดีก็ควรใช้ตัวจริงนั่นแหละ)

4. พาวเวอร์แบงค์ ถือขึ้นเครื่อง “เท่านั้น” อันนี้ตอนเช็คอินพนักงานก็จะถามอยู่แล้วค่ะว่ามีพาวเวอร์แบงค์ โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ในกระเป๋าโหลดหรือไม่ รวมถึงสิ่งของมีค่า แตกหักง่าย ถ้าหากมีในกระเป๋าโหลดกรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยค่ะ (อันนี้หลายคนงงว่า ทำไมถือขึ้นเครื่องได้ แต่โหลดไม่ได้ อธิบายเป็นภาษาง่ายๆเลยก็คือ กันมันระเบิดนั่นเอง ลองคิดดูว่าถ้าเกิดโหลดไว้ใต้ท้องเครื่อง แล้วเกิดประกายไฟขึ้นมา จะไม่มีใครรู้เลย อาจจะเกิดไฟลุกไหม้และลามไปยังส่วนต่างๆของเครื่องบิน แต่ถ้าถือขึ้นเครื่อง เมื่อเกิดประกายไฟหรือการระเบิดขึ้น พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะได้ช่วยระงับได้ทัน)

5. มาเช็คอินทัน ไม่ได้แปลว่าเครื่องจะรอ เวลาเครื่องออก ไม่ใช่เวลาประตูเครื่องปิด
อันนี้เจอมาหลายเคส ผู้โดยสารมาเช็คอินทัน แต่ไปขึ้นเครื่องไม่ทัน โดนออฟโหลดแล้วคอมเพลนสายการบิน
อันนี้ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ใน Boarding Pass จะแสดงเวลาที่จะเริ่มเรียกขึ้นเครื่อง ซึ่งจะใช้คำว่า Boarding Time อาจจะเป็นครึ่งชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องออกหรือกี่นาทีก็แล้วแต่ละสายการบิน ยกตัวอย่างเช่น เที่ยวบินไปเชียงใหม่ตอน 08:00 Boarding Time 07:30 นั่นหมายความว่าผู้โดยสารจะเริ่มขึ้นเครื่องได้ตอน 07:30 แต่ไม่ได้หมายความว่าขึ้นได้จนถึง 08:00 ส่วนใหญ่สายการบินจะปิดประตูเครื่อง 5-10 นาทีก่อนเวลาเครื่องออก นั่นแปลว่า เที่ยวบินรอบ 08:00 ประตูเครื่องจะปิดประมาณ 07:50-07:55 ถ้าผู้โดยสารไปถึงเกทตอน 08:00 แล้วทางสายการบินไม่รับขึ้นเครื่อง จะไม่ถือว่าเป็นความผิดสายการบิน (บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมไม่รับ อันนี้จะขออธิบายคร่าวๆนะคะ เมื่อประตูเครื่องปิดแล้ว ไม่ใช่ว่าเครื่องจะสามารถถอยและ take off ได้เลยในทันที ดังนั้นถ้ารอผู้โดยสารจนถึง 08:00 กว่าผู้โดยสารจะนั่งที่เรียบร้อย กว่าประตูเครื่องจะปิด อาจจะใช้เวลานาน เช่น ถ้าผู้โดยสารมาถึง 08:00 รอผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่อง เก็บกระเป๋า นั่งที่นั่ง อาจจะเป็นเวลา 08:10 ซึ่งก็ดีเลย์มาแล้ว 10 นาที และต้องรอถอย+รอเวลา take off อีก อาจจะต้องรอไปอีกประมาณ10-15นาที ก็ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ เมื่อเครื่องขาไปดีเลย์ก็อาจจะทำให้ขากลับดีเลย์กลับมาด้วย มันเป็นลูกโซ่กันไปหมด)

6. เที่ยวบินดีเลย์ แต่เวลาปิดเค้าเตอร์เช็คอินเท่าเดิมนะจ๊ะ
อันนี้ส่วนใหญ่จะเจอเป็นผู้โดยสารเดินทางหลายท่าน ส่วนหนึ่งเช็คอินเข้าไปรอที่เกทแล้ว และพบว่าเครื่องดีเลย์ อีกส่วนเพิ่งมาถึงหน้าเค้าเตอร์เช็คอิน (แต่เค้าเตอร์ปิดไปแล้ว) พอโทรหาเพื่อนข้างในแล้วพบว่า เห้ย แก ตอนนี้เครื่องดีเลย์ เครื่องยังไม่ออกเลย บลาๆ ผู้โดยสารหน้าเค้าเตอร์ก็เริ่มโวยวายว่าเครื่องคุณดีเลย์ ทำไมคุณไม่รับเช็คอิน บลาๆ อันนี้แล้วแต่ดุลยพินิจของสายการบินเลยค่ะ บางทีถ้ามีคุณคนเดียวไม่มีกระเป๋าโหลด สายการบินก็อาจจะรับเช็คอิน แค่อาจจะนะคะ แต่ถ้ามาแล้วมีกระเป๋าโหลด บอกเลยว่าส่วนใหญ่ไม่รับค่ะ หรืออาจจะรับแต่กระเป๋าคุณอาจจะไม่ได้ไปกับเที่ยวบินนี้ (อันนี้ทางสายการบินจะแจ้งเอง) เพราะว่ากว่าจะโหลดกระเป๋าลงสายพาน ผ่าน x-ray ของการท่าด้านใน (คือพอเราโหลดกระเป๋าไปแล้วมันมี process เยอะมากก่อนที่กระเป๋าจะไปถึงเครื่องได้) รวมถึงเรื่องน้ำหนัก เพราะว่าเครื่องบินจะต้องคำนวณน้ำหนักในการ take off , landing, อีกมากมาย รวมถึงปริมาณการเติมน้ำมันในแต่ละเที่ยวบิน เมื่อน้ำหนักเครื่องเปลี่ยน ก็จะต้องคำนวณใหม่

7. ขอที่นั่งที่ข้างๆไม่มีคนนั่ง ???
คนส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะนั่งใกล้กับบุคคลที่เราไม่รู้จักอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณซื้อตั๋วมาแค่ที่นั่งเดียว คุณต้องยอมรับในจุดนั้นว่าข้างๆอาจจะต้องมีคนมานั่ง เวลาเจอผู้โดยสารขอแบบนี้ ก็จะให้ที่นั่งที่ในตอนนั้นด้านข้างไม่มีคนนั่ง แต่ก็ไม่สามารถรับปากได้ว่าต่อไปจะไม่มีคนมานั่ง เราไม่มีสิทธิ์บล็อกที่นั่งด้านข้างให้ผู้โดยสาร แต่ถ้าอยากให้ที่นั่งด้านข้างว่างจริงๆ แนะนำซื้อ2ที่นั่ง แล้วเดินทางคนเดียว อันนี้รับรองว่าด้านข้างว่างแน่นอน (ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่ทำแบบนี้)

8. น้ำหนักกระเป๋าเกิน ลดหน่อยได้ไหมคะ *O*
ผู้โดยสารหลายคนมักจะไม่อ่านรายละเอียดตั๋วให้ดี บางสายการบินให้ 15 กิโล บางที่ 20 30 ก็ว่ากันไป บางทีในตั๋วแสดงรายละเอียดชัดเจนแล้วว่าได้น้ำหนักกระเป๋าโหลด 20 kg. พอมาชั่งน้ำหนักเป็น 25 kg. เมื่อแจ้งว่าน้ำหนักเกิน 5 kg. ต้องจ่ายเงิน ก็จะเริ่มอิดออด ลดหน่อยได้ไหมคะ ครั้งหน้าค่อยจ่าย คนไทยช่วยมีน้ำใจหน่อย อันนี้บอกเลยนะคะว่าพนักงานเช็คอินไม่สามารถตัดสินใจในส่วนนี้ได้นะคะ ทางแก้ไขที่เราแนะนำให้ผู้โดยสารคือนำของในกระเป๋าโหลดมาถือขึ้นเครื่องแทนค่ะ แต่ต้องไม่มีของเหลว เจล สเปรย์ ของมีคม หรือของที่ห้ามถือขึ้นเครื่อง เราจะแนะนำให้เอาออกจนน้ำหนักกระเป๋าเหลือประมาณ 22-23 kg. อันนี้จะพออนุโลมไม่เก็บค่าน้ำหนักเกินได้ค่ะ (ถ้าเป็นชาวต่างชาติเขาจะโอเคกับการจ่ายกระเป๋าน้ำหนัก เพราะเขาคิดว่าเขาผิดเอง แต่ส่วนใหญ่ชาวต่างชาติจะชั่งน้ำหนักกระเป๋าของตัวเองมาก่อนแล้ว พอมาถึงเค้าเตอร์เช็คอินเขาจะบอกเองเลยว่ากระเป๋าฉันน้ำหนักเกินนะ ต้องจ่ายเท่าไหร่) ดังนั้นแนะนำให้ผู้โดยสารอ่านรายละเอียดตั๋วของตนเองอย่างละเอียดว่าได้น้ำหนักเท่าไหร่ พอจัดกระเป๋าเสร็จก็ลองชั่งดูว่าเกินไหม จะได้ไม่ต้องไปจัดใหม่ที่หน้าเค้าเตอร์หรือจ่ายค่าน้ำหนักเกิน

9. ตอนเช็คอินบอกที่นั่งด้านหน้าเต็ม แต่ขึ้นเครื่องไปข้างหน้าว่าง ไม่มีคนนั่ง???
อันนี้น่าจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ทำไมตอนขอที่นั่งด้านหน้าพนักงานมักจะบอกว่าตอนนี้ไม่มีที่นั่งด้านหน้าแล้ว แต่พอขึ้นเครื่องไป ที่นั่งด้านหน้าไม่มีใครนั่ง? อันนี้จริงๆสายการบินจะต้องกันที่นั่งโซนด้านหน้าไว้ให้สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนะคะ ยกตัวอย่างเช่น ผู้โดยสารที่ต้องใช้รถเข็น (wheelchair) ให้นั่งแถวหลังก็คงไม่สะดวก ผู้โดยสารที่เดินทางกับเด็กเล็ก หรือ พระภิกษุ ค่ะ ถ้าหากว่าเราให้ที่นั่งด้านหน้ากับผู้โดยสารทั่วไปจนหมด เมื่อมีผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษมา และไม่มีที่นั่งด้านหน้าให้เค้า จะทำให้ค่อนข้างวุ่นวายค่ะ เพราะผู้โดยสารที่ต้องการรถเข็นบางท่านเดินไม่ได้เลย ถ้าได้ที่นั่งหลังๆก็ค่อนข้างจะลำบากในการเคลื่อนย้ายไปที่ที่นั่ง และที่สำคัญคือ ที่ต้องให้ผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั่งด้านหน้าเพราะจะได้ใกล้กับลูกเรือ สามารถดูแลได้ง่ายค่ะ หรือบางครั้งก็คือที่นั่งด้านหน้ามีผู้โดยสารจองที่นั่งมาแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ผู้โดยสารท่านนั้นไม่เดินทาง กลายเป็น No Show เลยทำให้ที่นั่งตรงนั้นว่างค่ะ

10. ผ่าตัด หรือ ทำศัลยกรรม ต้องมีใบรับรองแพทย์
ถ้าผู้โดยสารผ่าตัดหรือศัลยกรรมมาจะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ระบุมาว่าสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ (ในกรณีที่แผลยังไม่หาย หรือเพิ่งไปทำมาสดๆร้อนๆ ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ เช่น จมูกยังบวมอยู่ ตายังมีรอยคล้ำ เลือดยังไหล) แต่แนะนำว่าให้โทรสอบถามสายการบินที่เดินทางโดยตรงเลยจะดีกว่า เพราะแต่ละสายการบินมีการตัดสินใจไม่เหมือนกันค่ะ

11. ทำไมต้องนั่งที่นั่งของตัวเองเวลา Take off หรือ Landing
บางคนสงสัยว่าเมื่อขึ้นเครื่องไปแล้วที่นั่งว่างตั้งหลายที่ ทำไมต้องให้เรานั่งในที่ตามบัตรโดยสารก่อน และสามารถย้ายที่ได้หลังจาก take off เสร็จแล้ว แต่เมื่อใกล้เวลา landing จะต้องย้ายกลับไปที่เดิม อันนี้จะเกี่ยวกับเรื่องสมดุลของเครื่องบินค่ะ เนื่องจากเวลาเครื่องบิน take off, landing จะต้องใช้น้ำหนักในโซนที่นั่งของเครื่องบินในการคำนวณด้วย เช่น โซนด้านหน้าหนักเท่านี้ ตรงกลางเท่านี้ ด้านหลังเท่านี้ ถ้าผู้โดยสารย้ายที่ น้ำหนักของแต่ละโซนจะเปลี่ยนไป อาจจะทำให้เครื่องไม่สามารถขึ้นได้หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกว่านั้นค่ะ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมเวลามีที่นั่งว่าง แต่สายการบินกระจายผู้โดยสารให้นั่งทั่วทั้งลำ ไม่เทมาที่แถวหน้าๆทั้งหมด นั่นเพราะว่าถ้าผู้โดยสารทั้งลำมานั่งที่นั่งด้านหน้าทั้งหมด จะทำให้เครื่องบินหนักหน้า ไม่สามารถขึ้นบินได้ (อันนี้เป็นการอธิบายง่ายๆให้พอเข้าใจนะคะ)

12. เพิ่มเติมเรื่อง "ระเบิด" ค่ะ
อย่างเหตุการณ์ล่าสุดเลยที่เกิดขึ้น แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่อยากบอกทุกคนว่าคำว่าระเบิด หรืออะไรก็ตามที่ดูเป็นภัยนั้น sensitive ต่อสายการบินมากๆค่ะ ดังนั้นขอความร่วมมือทุกท่านอย่าพูดเล่นเรื่องแบบนี้นะคะ มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลานค่ะ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ทุกคนได้รับความเสียหายทั้งหมด ทุกอย่างต้องเริ่มกระบวนการนับ 1 ใหม่ทั้งหมด สแกนตัวผู้โดยสารใหม่ สแกนกระเป๋าใหม่ รวมทั้งอาหารก็ต้องนำไปเช็ค ทั้งเครื่องบินก็ต้องนำไปตรวจอย่างละเอียด (บางครั้งต้องเปลี่ยนเครื่องบินลำใหม่) รวมไปถึงกัปตันและลูกเรือ ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดค่ะ เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องขอสอบปากคำทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จริงๆรายละเอียดมันเยอะมากๆ แม้จะเป็นเด็กแต่สายการบินก็ไม่มองว่าพูดเล่นค่ะ เพราะถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เครื่องอยู่กลางอากาศ ไม่มีใครสามารถช่วยได้เลย


ถ้ากระทู้นี้ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ

ใครมีข้อสงสัยตรงไหนสามารถถามได้ค่ะ ถ้าเป็นคำถามที่เรารู้จะตอบให้นะคะ (ถ้าไม่รู้ก็จะพยายามหาคำตอบมาให้ค่ะ 5555)

source ;- https://goo.gl/LKgfqt

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.