กรณีหมุดคณะราษฎร: ข้อเสนอยุทธศาสตร์คนเสื้อแดง
เอกชัย หงกังวาน

 หากคุณเคยอ่านนิยายสามก๊ก สิ่งสำคัญในการทำสงครามนอกจากกองทัพที่เกรียงไกร ยังต้องมีแม่ทัพที่เก่งกล้า, ผู้นำที่เข็มแข็ง และกุนซือที่ชาญฉลาด

กว่า 10 ปีแห่งความขัดแย้งทางการเมือง คนเสื้อแดงมักหลงตนเองมีผู้สนับสนุนมากมาย นึกว่ากองทัพเสื้อแดงเป็นกองทัพที่เกรียงไกรที่สุดจนมองข้ามแกนนำที่เก่งกล้า, ผู้นำที่เข็มแข็ง และกุนซือที่ชาญฉลาด

หลายปีที่ผ่านมาแกนนำหลายคนนำคนเสื้อแดงต่อสู้อย่างไร้ยุทธศาสตร์ แกนนำเสื้อแดงมักต่อสู้อย่างไร้ "ประเด็น" จนเป็นเหตุให้กองทัพเสื้อแดงต้องพ่ายแพ้ตลอด

แกนนำหลายคนต้องประสบชะตากรรม บางคนอยู่ในเรือนจำ บางคนหลบหนีไปต่างประเทศ บางคนต้องเก็บตัว บางคนมีคดีจ่อคอเป็นหางว่าว

ด้วยเหตุนี้แกนนำเหล่านี้จึงแทบหยุดการเคลื่อนไหว ขณะที่แกนนำรุ่นใหม่ เช่น นักศึกษา เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

อย่างไรก็ตามแกนนำเหล่านี้ยังขาดบารมี-ประสบการณ์จึงทำให้ชะตากรรมของพวกเขาไม่ต่างจากแกนนำรุ่นแรก

หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 ทหารควบคุมอำนาจรัฐทุกอย่าง และพยายามข่มขู่แกนนำ-ประชาชนให้อยู่ในความหวาดกลัวเพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง

ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าเรือนจำไปศึกษาวิชา ม.112 ถึง 2 ปี 8 เดือนเต็ม วิชานี้สอนให้ผมรู้ว่า การต่อสู้จำเป็นต้องใช้ยุทธศาสตร์มากกว่ากำลังคน

ด้วยเหตุนี้ชีวิตหลังออกจากเรือนจำของผมจึงเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวของผมจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์มากขึ้น เราไม่ควรคาดหวังกองทัพเสื้อแดง

หลังความพลาดพลั้งของฝ่ายตรงข้ามใน "ประเด็น" หมุดคณะราษฎร-หมุดหน้าใส ผมเห็นว่า นี่คือยุทธศาสตร์ใหม่ของคนเสื้อแดง

คณะราษฎรเป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเกลียดชัง และต้องการทำลายล้าง แต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถออกกฎหมายเพื่อปิดปากได้ นี่คือ "ประเด็น" ที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของฝ่ายตรงข้าม

ต้นเดือนเมษายน หมุดคณะราษฎรสูญหายอย่างไร้ร่องรอยจนกลายเป็นประเด็นฮือฮาในสื่อมวลชน-เครื่อข่ายสังคม คนเสื้อแดงหลายคนจับ "ประเด็น" นี้ในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

ขณะที่ฝ่ายทหารไม่มีกฎหมายที่จะปิดปาก "ประเด็น" นี้จึงใช้วิธีการข่มขู่สารพัด แทนที่คนเสื้อแดงจะยืดหยัดต่อสู้ พวกเขากลับหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผล

ด้วยเหตุนี้ผมจึงทำหนังสือเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลถอนหมุดหน้าใสออกจากลานพระบรมรูปทรงม้าช่วงปลายเดิือนเมษายน

ทหาร-ตำรวจบุกมาเยี่ยมผมถึงบ้านของผมเพื่อห้ามผมไปยื่นหนังสือนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ผมยืนกรานที่จะไป

ในวันที่ผมไปยื่นหนังสือร้องเรียนที่ทำเนียบรัฐบาล ทหาร-ตำรวจกว่าสิบคนล้อมจับผม ผมถูกส่งตัวมาที่ มทบ.11

ทหารพยายามโน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนใจ วิธีนี้อาจใช้ได้ผลกับผู้ที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอ แต่ไม่ใช่ผม

สุดท้ายทหารต้องปล่อยผมในช่วงเย็นโดยไม่สามารถตั้งข้อหาใดๆกับผม นี่คือจุดอ่อนที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถปิดปากของผม

หลายวันที่ผ่านมาทหาร-ตำรวจคุกคามแกนนำหลายคนไม่ให้เคลื่อนไหวในวันชาติ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา แกนนำเหล่านี้จึงเลือกที่จะไม่เคลื่อนไหวที่ลานพระบรมทรงม้า

ลานพระบรมทรงม้าเป็น "ประเด็น" ที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถหาเหตุผลมาปิดปาก แต่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ผมจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวที่จุดยุทธศาสตร์นี้

ผมนำหมุดเลียนแบบคณะราษฎรที่ได้รับมาพร้อมปูนซีเมนต์เพื่อฝัง ณ จุดที่ตั้งของหมุดหน้าใส เหตุุการณ์เป็นไปตามที่ผมคาด ตำรวจกว่าสิบคนรุมล้อมผม ผมถูกส่งตัวมาที่ มทบ.11 อีกครั้ง

ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา ตำรวจพยายามซักผมถึงที่มาของหมุดเลียนแบบนี้ แต่ผมเล่าว่า ผมได้รับมาทางพัสดุไปรษณีย์ โดยผมจำชื่อผู้ส่งไม่ได้

ตำรวจใช้ยุทธวิธีหลายอย่างเพื่อถามถึงชื่อผู้ส่ง บางคนเกลี้ยกล่อม บางคนข่มขู่จะยัดข้อหาให้กับผม บางคนขึ้นเสียงใส่ผม แต่ผมยังคงยืนกรานคำตอบเดิม

ดูๆไปแล้วไม่ต่างจากสามก๊กเวอร์ชั่นที่กำลังฉายอยู่ที่ช่อง 3 ตอนที่โจโฉพยายามเค้นถามโจผีถึงผู้ที่ฆ่าโจฉอง (น้องชายของโจผี) สุมาอี้แนะนำให้โจผียืนกรานปฏิเสธสถานเดียว โจผีจึงยืนกรานปฏิเสธโดยตลอด

หัวหน้าตำรวจพยายามตั้งข้อหาผมเพื่อขอหมายค้นจากศาล บางคนขู่จะยัดข้อหาบุกรุกเขตพระราชฐาน แต่ผมโต้ว่า บริเวณนั้นเป็นถนนที่รถยนต์แล่นขวักไขว่ ตำรวจจึงต้องอึ้ง

เวลาแห่งการสอบสวนผ่านไปกว่า 5 ชั่วโมง ตำรวจไม่สามารถเปลี่ยนใจผม สุดท้ายพวกเขาก็ต้องปล่อยผมโดยไม่สามารถตั้งข้อหาใดๆ

การต่อสู้จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ คณะราษฎรเป็น "ประเด็น" ที่จี้ใจดำของฝ่ายตรงข้ามที่สุด โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถตั้งข้อหาใดๆได้

หากคนเสื้อแดงไม่รู้จักใช้ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ การต่อสู้ก็จะไม่ต่างจากการเอาหัวไปโขกกำแพงซึ่งมีแต่เจ็บตัวเปล่า

หากคนเสื้อแดงรู้จักใช้ยุทธศาสตร์ให้เป็น นอกจากไม่มีความเสี่ยงในคดีความ ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามเจ็บแค้นมากขึ้นจนอาจเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเองในอนาคต

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.