ภาพจากเฟซบุ๊กสมาน ศรีงาม

Posted: 02 Jan 2019 03:22 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Wed, 2019-01-02 18:22


พระสมาน ศรีงาม นำทีมสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ยื่นหนังสือ กกต. ขอให้กำหนดวันเลือกตั้งหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ชี้ไม่ควรเปลี่ยนรัฐบาลในช่วงนี้ เนื่องจากอาจจะเกิดปัญหา แนะพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีความสำคัญสูงสุดกว่าสิ่งอื่นใด ย้ำการเลือกตั้งแบบเผด็จการไม่สร้างความสง่างามในช่วงพิธีสำคัญ

2 ม.ค. 2562 ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ นำโดย พระสมาน ศรีงาม ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการเการเลือกตั้ง (กกต.) โดยภิเศก อาจทวีกุล ทนายความประจำสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ กล่าวว่า ขอเรียกร้องต่อ กกต.ไม่ให้ออกประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง ก่อนที่จะมีงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เนื่องจากเห็นว่า การเลือกตั้ง การหาเสียง รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาล จะส่งผลต่อบรรยากาศอันดีในการร่วมเฉลิมฉลองพระราชพิธี อันยิ่งใหญ่ ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 4 – 6 พ.ค.นี้ อีกทั้งเห็นว่าไม่ควรอย่างยิ่งในการเปลี่ยนรัฐบาลในช่วงนี้ เพราะจะเกิดปัญหาฉุกละหุก เนื่องงานพระราชพิธีดังกล่าวต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ครบถ้วน สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งพระราชพิธีราชาภิเษกถือว่ามีความสำคัญสูงสุดกว่าสิ่งอื่นใด

ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมว่า เฟสบุ๊กสมาน ศรีงาม ได้โพสต์ แถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าวด้วย โดยระบุว่า กกต. จะประกาศวันเลือกตั้งไม่ได้โดยเด็ดขาดก่อนที่จะมีงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำลายพระราชพิธี ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำลายความมั่นคงของชาติ ทำลายความรู้รักสามัคคี ขัดขวางทำลายการเตรียมการและบรรยากาศอันดีมั่นคงสงบเรียบร้อยเป็นอภิมหากุศลอย่างยิ่งมีเสถียรภาพในการจัดงานและการร่วมเฉลิมฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันยิ่งใหญ่สูงส่งสำคัญสูงสุดของชาติ ไม่ควรอย่างยิ่งในการเปลี่ยนรัฐบาลในช่วงนี้เพราะจะทำให้ตระเตรียมการจัดงานให้ยิ่งใหญ่สูงส่งสมพระเกียรติยศสูงสุดและไม่ให้เป็นการฉุกละหุกต้องมีความละเอียดประณีตสุขุมคัมภีรภาพถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์อย่างที่สุดเท่าที่จะทำได้

สมาน ระบุด้วยว่า การเลือกตั้งแบบเผด็จการเป็นการแย่งชิงอำนาจกันอย่างรุนแรงแตกหักเอาเป็นเอาตายด้วยความกระหายในอำนาจอย่างหน้ามือตามัวระหว่างพรรคนักการเมืองต่างๆ และมีการถล่มโจมตีใส่ร้ายป้ายสีกันด่าว่าผรุษวาสอยาบคายเลวร้ายสะถุนต่ำทรามเป็นอัปมงคลที่สุดไม่เป็นกุศลอย่างยิ่ง อีกทั้งจะมีการต่อสู้กันในทุกรูปแบบด้วยวิชามารมากมายทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งกันไม่รู้จบ จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดี มีการทำม็อบวุ่นวายทั้งในและนอกประเทศ กกต.จะรับรอง ส.ส.ไม่ได้อย่างถูกต้องสะอาดบริสุทธิ์เที่ยงธรรม จะต้องลูบหน้าปะจมูกทำลวกๆรับรองส.ส.ไปก่อนเพื่อทำให้ประชุมสภาได้เช่นเดิม เพื่อประชุมสภาให้ได้ เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ เพื่อตั้งรัฐบาลให้ได้ เพื่อจัดงานพระราชพิธีให้ทัน รัฐบาลใหม่ขึ้นมายังไม่มีความคล่องตัวและยังไม่มีเสถียรภาพยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ จะต้องเตรียมการจัดพระราชพิธีทั้งด้านภายในประเทศและทั้งด้านต่างประเทศ ซึ่งงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้มีครั้งเดียวที่จะผิดพลาดบกพร่องไม่ได้เลยโดยเด็ดขาดสิ้นเชิง

สมาน ระบุต่อว่า ถ้ามีการเลือกตั้งก่อนพระราชพิธีทำให้เกิดเหตุการณ์วิกฤติจลาจลนองเลือดมิคสัญญีกลียุครุนแรงเลวร้ายอะไรขึ้นโดยเป็นอุบัติเหตุไม่ได้คาดหมาย แล้วจะเกิดผลกระทบอันความเสียหายร้ายแรงต่อพระราชพิธีได้อย่างไม่อาจจะแก้ไขได้เลย ดังนั้น ด้วยข้อเท็จจริง ความจริงและความจริงแท้ดังกล่าวข้างต้นนี้ จึงทำให้ กกต.จะประกาศให้มีการเลือกตั้งก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไม่ได้เลยโดยเด็ดขาดสิ้นเชิง เพราะ กกต.ไม่อาจจะรับประกันได้และไม่สามารถรับผิดชอบแก้ไขได้เลยอย่างสิ้นเชิงแม้แต่น้อย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีปัญหาที่แก้ไม่ตกคือเป็น..”การเลือกตั้งแบบเผด็จการทำลายราชอาณาจักรทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อความแตกสามัคคี ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ขัดต่อกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ความมั่นคงของรัฐเป็นกฎหมายสูงสุดอันเป็นหลักนิติธรรม(Rule of Law) เพราะทำลายราชอาณาจักร ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อให้เกิดความแตกสามัคคี ไม่เป็นการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เป็นการเลือกตั้งแบบทุจริตคอร์รัปชั่นในตัวของมันเอง และไม่ใช่การเลือกตั้งของระบอบประชาธิปไตย หรือไม่ใช่การเลือกตั้งของอำนาจอธิปไตยของปวงชน เป็นการเลือกตั้งของระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือเป็นการเลือกตั้งของอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย กกต.และ คสช.ยังไม่ได้สร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย และยังไม่ได้สร้างระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้สมาน ยังระบุถึง 4 เหตุผลที่ กตต. จะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปด้วย โดยระบุว่า

1.เมื่อวันที่ 1 ม.ค.พ.ศ. 2562 สำนักพระราชวังได้ประกาศ.. “เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562” จึงทำให้เกิดสถานการณ์ใหม่ของประเทศคือ.. “สถานการณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก”...!!! ซึ่งทำให้ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศและทั้งโลกมีความสุขปิติปราโมทย์อย่างยิ่งยวดโดยทั่วหน้ากันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อันเป็นอภิมหา ส.ค.ส.ปีใหม่ พ.ศ. 2562 ที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุดจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่ได้พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลายโดยทั่วหน้ากัน แม้แต่ประชาชาติและประชาชนทั่วโลกก็มีความสุขความยินดีปราโมทย์อย่างยิ่งไปทั่วทั้งโลก อันทำให้เกิดสภาวะแห่งสันติภาพโลกถาวร(Lasting World Peace)แผ่ซ่านปกเกล้าปกกระหม่อมไปทั่วประเทศไทยและทั่วทั้งโลกอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง จึงทำให้ปีใหม่ พ.ศ. 2562 หรือ ค.ศ. 2019 เริ่มปีแห่งสันติภาพโลกถาวร นั่นเอง ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 จึงทรงเป็นผู้นำสร้างสันติภาพโลกถาวร ที่ยิ่งใหญ่และสูงสูดของโลกยุคเปลี่ยนผ่านไปจากยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ไปสู่ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ทำให้ประเทศไทยยกระดับขึ้นเป็นมหาอำนาจทางหลักการเป็นผู้นำโลก อย่างเป็นไปเอง

2. ทันทีที่สำนักพระราชวังได้ออกประกาศเรื่อง “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 พ.ค.พ.ศ. 2562” ต่อมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้แถลงการณ์เรื่อง “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เตรียมสนองพระราชดำริให้สมพระเกียรติ” เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561 ได้แถลงว่า...

“ตามที่สำนักพระราชวังมีประกาศแจ้งว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามพระราชประเพณีความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักรให้เป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนผู้มีความหวังตั้งใจอยู่ทั่วกัน ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 นั้น....รัฐบาลได้รับทราบแล้วด้วยความยินดียิ่ง และบัดนี้เป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลจะได้ร่วมกับพสกนิกรชาวไทยเตรียมการจัดงานสนองพระราชดำริและพระมหากรุณาธิคุณให้สมพระเกียรติตามพระราชประเพณี”

นับว่าเป็นการรับสนองพระบรมราชโองการอย่างถูกต้องและมีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งยวด

3. ดังนั้น ทั้งรัฐบาล คสช. โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. และพ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ประกาศอย่างถูกต้องแล้วว่า.. “พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะต้องมาก่อนการเลือกตั้ง” และ “กกต.ไม่ได้ยืนยันการเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562” ประเทศไทยจึงยังไม่มีสถานการณ์เลือกตั้งแต่อย่างใดทั้งสิ้น เป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป แต่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. พ.ศ. 2562 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระบรมราชโองการให้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นในวันทันที่ 4 ถึงวันที่ 6 พ.ค. พ.ศ. 2562 จึงทำให้เกิดสถานการณ์ใหม่ของประเทศไทยขึ้นโดยทันที นั่นคือ..

“สถานการณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลก เลยทีเดียว ประชาชนทั้งประเทศและประชาชาติทั้งโลกมีความยินดีปรีดาปิติปราโมทย์เป็นอย่างที่สุด เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนทั้งโลก จึงทรงเป็น.. “มหาราชแห่งมหาชนของคนทั้งโลกโดยแท้”

4. ฉะนั้นเมื่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ได้ทรงมีพระบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุดในโลกนี้แล้ว จะต้องไม่มีสิ่งใดที่จะยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุดเช่นนี้อีกแล้ว หรือมาขวางหน้าหรือมาขั้นกลางต่องานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้โดยเด็ดขาดสิ้นเชิง นับแต่นี้ต่อไป เราคนไทยทั้งประเทศและประชาชาติทั้งโลกจะต้องให้ความสำคัญสูงสุดและผนึกกำลังกันทุมเททุกสรรพสิ่งเพื่อตระเตรียมงานเพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ให้อย่างเต็มที่สุดชีวิตชีวาของเราทั้งหลาย ด้วยความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งยวดยิ่งกว่าชีวิตของเราทั้งปวง

[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.