Posted: 14 Jun 2017 05:44 AM PDT   (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ศาลภูเขียวนัดฟังพิพากษาศาลฎีกา กรณีเด่น คำแหล้และภรรยาถูกฟ้อง รุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม หลังเลื่อนฟังคำพิพากษาครั้งก่อนเนื่องจากข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่า เด่นเสียชีวิตแล้ว และการที่จำเลยไม่มาศาลถือว่าหลบหนีคดี

14 มิ.ย. 2560 สำข่าวข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน รายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ ศาลจังหวัดภูเขียวนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ซึ่งมีเด่น คำแหล้ เป็นจำเลยที่ 1 และสุภาพ คำแหล้ ผู้เป็นภรรยา เป็นจำเลยที่ 4 โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2560 ศาลจังหวัดภูเขียวได้มีหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาและฟังคำสั่งของศาลฎีกา แต่เด่นได้หายตัวไปตั้งแต่ 16 เม.ย. 2559 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 (เด่น คำแหล้) เป็นบุคคลที่เสียไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีบุคคลรู้แน่ว่าจำเลยที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เท่านั้น ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย การที่เด่นไม่มาฟังคำพิพากษานั้น ศาลถือว่าเด่นหลบหนี จึงไม่ระงับคดีอาญา และให้ศาลจังหวัดภูเขียวดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งดังกล่าว ศาลจังหวัดภูเขียวจึงได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 และปรับนายประกัน ได้มีคำสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ออกไปเป็นวันที่ 15 มิ.ย.2560

คดีดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2554 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังกันบุกเข้าควบคุมตัวชาวบ้านรวม 10 คน และแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม สำหรับคดีของเด่น กับพวกรวม 5 คน ศาลจังหวัดภูเขียวนัดอ่านฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2556 โดยยืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 คือนายเด่น และนางสุภาพ จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และไม่ให้ประกันตัว เพราะเกรงว่าจะหลบหนี ส่วนอีก 3 ราย ศาลยกฟ้อง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 4 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 6 เดือน และศาลไม่อนุญาตฎีกา จำเลยทั้งสองต้องถูกคุมขัง

ต่อมาในวันที่ 9 พ.ค. 2556 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน( คปอ.)และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move ได้ชุมนุมที่กรุงเทพมหานคร เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานภาครัฐ และร่วมเดินรณรงค์ไปยังศาลฎีกา พร้อมกับยื่นหนังสือขอให้ศาลฎีกาปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว ประกอบกับช่วงดังกล่าวทนายความได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ซึ่งศาลอนุญาตในเวลาต่อมา และสามารถประกันตัวผู้ต้องหาได้ในที่สุด ผลการยื่นประกันขอให้ปล่อยตัวจำเลยที่ 1 และที่ 4 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา ปรากฏว่าศาลอนุมัติให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 2 โดยได้เพิ่มหลักทรัพย์จากรายละ 200,0000 บาท เป็นรายละ 300,000 บาท

สุภาพ คำแหล้ ระบุว่า เหตุที่ศาลได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับสามี เพราะศาลแจ้งว่ายังรับฟังไม่ได้ว่า ถึงแก่ความตายหรือหายสาบสูญ และได้มีคำสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลมาเป็นวันที่ 15 มิ.ย.2560 เธอยืนยันข้อเท็จจริงว่า สามีไม่เคยคิดหลบหนีคดี และเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาก็เคยถูกคุมขังในเรือนจำภูเขียวมาด้วยกันเป็นเวลา 16 วัน อีกทั้งสามีก็เป็นนักต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกินอยู่แล้ว กล้าเผชิญหน้าตลอด ไม่เคยคิดหลบหนีคดีไปไหน ถ้าจะหนีก็คงหนีไปกันหมดทั้งชุมชนโคกยาว และถ้าจะติดคุกก็ต้องติดด้วยกัน เพราะอยู่กินทั้งมาตั้งแต่ปี 2525 ไม่เคยทิ้งกัน และไม่เคยหนีหายไปไหนปล่อยให้ภรรยาอยู่ลำบากคนเดียวแบบนี้ แต่สามีหายไปในป่า 1 ปีกว่าแล้ว คิดว่าตายไปแล้วแน่นอน

สำหรับเด่น คำแหล้ เป็นประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ และเป็นแกนนำนักต่อสู้สิทธิที่ดินทำกิน ได้หายตัวไปในวันที่ 16 เม.ย.2559 ภายหลังจากเข้าไปหาหน่อไม้ในบริเวณสวนป่าโคกยาว รอยต่อระหว่างเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว และหายไปนับจากวันดังกล่าว


ข้อเท็จจริงพื้นที่พิพาทสวนป่าโคกยาว

ทั้งนี้ข้อเท็จจริงเกิดขึ้น ปี 2528 รัฐเข้ามาดำเนินโครงการ “หมู่บ้านรักษ์ป่า ประชารักษ์สัตว์” ขับไล่ชาวบ้านโคกยาวอพยพออกจากที่ทำกิน และอ้างว่าจะจัดสรรที่ดินรองรับ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำยูคาลิปตัส เข้ามาปลูก ส่วนพื้นที่รองรับเป็นที่ดินที่มีเจ้าของถือครองทำประโยชน์อยู่แล้ว ทำให้เข้าไปทำกินได้ และเข้าที่เดิมก็ไม่ได้ เด่น คำแหล้ เป็นแกนนำร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิที่ดินทำกินมานับแต่นั้น กระทั่งกระบวนการแก้ไขปัญหาเข้าสู่ปี 2548 คณะทำงานตรวจสอบพื้นที่โดยมีธนโชติ ศรีกุล ปลัดอาวุโสอำเภอคอนสาร เป็นประธาน ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองทำประโยชน์ที่ดิน และการสำรวจรังวัดพื้นที่ มีมติว่าสวนป่าโคกยาวได้สร้างผลกระทบขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ และให้ดำเนินการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเป็นการต่อไป

ต่อมาคณะอนุกรรมการสิทธิที่ดินและป่า(คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) ลงตรวจสอบพื้นที่และได้รายงานผลการละเมิดสิทธิ โดยมีมติว่าการปลูกสร้างสวนป่าโคกยาวได้ละเมิดสิทธิในที่ดินของผู้เดือดร้อน และให้ยกเลิกสวนป่าโคกยาว ทั้งนี้ในระหว่างการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อยุติ ให้ผู้เดือดร้อน สามารถทำกินในระหว่างร่องแถวของสวนป่าไปพลางก่อน

นอกจากนี้ พื้นที่พิพาทสวนป่าโคกยาว ผ่านความเห็นชอบดำเนินโครงการพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชน บนพื้นที่กว่า 830 ไร่ ตามมติ ครม.ปี 2553 และให้ผู้เดือดร้อนสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในสวนป่าได้โดยไม่มีการข่มขู่ กักขัง หรือดำเนินคดีใดใดในช่วงที่กำลังมีการแก้ไขปัญหา แต่แนวทางปฎิบัติกลับสวนทางกัน และเกิดคดีความ

ความพยายามขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ได้เกิดขึ้นอีกในวันที่ 15 ส.ค.2557 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้ามาปิดประกาศคำสั่ง คสช.64/57 ให้ชุมชนโคกยาวอพยพออกจากพื้นที่ และวันที่ 6 ก.พ. 2558 เจ้าหน้าทหารเข้ามาปิดประกาศอีกรอบ หลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เด่น เป็นแกนนำชุมชนเพื่อยื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง และเข้าร่วมเจรจากับหน่วยงานภาครัฐในระดับนโยบาย มีมติให้ ชะลอการไล่รื้อออกไปก่อนจนกว่าจะมีกระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.